AspenTech เปิดตัวซอฟต์แวร์ aspenONE V12.2 ล่าสุด สู่ความยั่งยืนและความเป็นเลิศ

แอสเพ็น เทคโนโลยี อิงค์ (Aspen Technology, Inc. (NASDAQ: AZPN) บริษัทผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพสินทรัพย์ (Asset optimization software) ประกาศเปิดตัวซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นล่าสุด aspenONE® V12.2 ซึ่งเน้นช่วยให้ลูกค้าองค์กรมีโมเดลจำลองด้านความยั่งยืนและใช้ซอฟต์แวร์ใหม่ๆ สนับสนุนกิจกรรมด้านความยั่งยืนในขั้นสูงของบริษัทตนตลอดเส้นทางการปฏิรูปดิจิทัลได้

- AspenOne V12.2 Thai Resize 0 - ภาพที่ 1

ในปัจจุบัน โซลูชัน aspenONE® V12 มีโมเดลแบบจำลองในซอฟต์แวร์มากกว่า 50 โมเดล ซึ่งส่วนใหญ่ให้ข้อมูลเชิงลึกแก่องค์กร แสดงให้เห็นถึงส่วนการปฏิบัติงานที่ยังสามารถปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้นได้ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในขอบเขตที่ 1 (Scope 1) และขอบเขตที่ 2 (Scope 2) ขององค์กร

ทั้งนี้ เมื่อลูกค้าใช้โมเดลแบบจำลองที่สร้างจากข้อมูลจริงที่รวบรวมจากทุกจุดโรงงานเหล่านี้ จึงสามารถอธิบายกิจกรรมและระบุวิธีลดการปล่อยมลพิษในห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดที่มีความแม่นยำสูงได้ ช่วยลดการใช้พลังงาน น้ำและวัตถุดิบ และเปลี่ยนไปเป็นแหล่งพลังงานใหม่ เช่น เชื้อเพลิงชีวภาพและไฮโดรเจน อีกทั้งยังช่วยสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบในเศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านกระบวนการต่างๆ เช่น การรีไซเคิลพลาสติกและการแปลงของเสียเป็นธุรกิจสารเคมีต่างๆ ได้อีกด้วย

เดวิด อาร์บิเทล รองประธานอาวุโส ฝ่ายการจัดการผลิตภัณฑ์ของแอสเพ็นเทคให้ความเห็นว่า “เพื่อบรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้นและมุ่งสู่การเป็นการเป็นองค์กรสมดุลคาร์บอน (Carbon Neutral) องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องให้ความสำคัญที่การบริหารประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่ผสานกันอย่างครอบคลุม เน้นยกระดับและใช้ประโยชน์จากศักยภาพด้านดิจิทัลขององค์ประกอบต่างๆ ในองค์กร ที่สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นเพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนด้านต่างๆ เพื่อให้ได้แนวทางที่ต้องการนั้นได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ทั้งนี้ ซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นใหม่นี้จะช่วยยกระดับคุณสมบัติการทำงานหลายด้านในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของเราให้ได้ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่มีมูลค่าสูงขึ้นได้และเร็วขึ้น”

- V12.2 Plant resize 1 - ภาพที่ 3

ปีเตอร์ เรย์โนลส์ นักวิเคราะห์อาวุโสของ ARC Advisory Group กล่าวว่า “ซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นใหม่ของแอสเพ็นเทคนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่เพื่อสนับสนุนโครงการด้านความยั่งยืนใหม่ๆ ของลูกค้าให้เกิดได้อย่างรวดเร็ว และการเพิ่มศักยภาพด้านความยั่งยืนลงในซอฟต์แวร์ที่มีอยู่และเพิ่มโมเดลตัวอย่างใหม่ๆ จำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมขององค์กรที่ทุ่มเทการสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถจัดการกับการรีไซเคิลวัสดุ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การผลิตไฮโดรเจน การดักจับคาร์บอน และวัตถุดิบจากชีวภาพได้อย่างจริงจัง”

ซอฟต์แวร์เวอร์ชั่น aspenONE® V12.2 นอกจากจะเน้นพัฒนาโมเดลจำลองความยั่งยืนแล้ว ยังเน้นปรับปรุงคุณสมบัติต่างๆ ที่ออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานได้ง่าย ใช้เวลาในการสร้างมูลค่าเร็วขึ้น และทำงานร่วมกันทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่า ดังนี้:
• Aspen GDOTTM สำหรับธุรกิจโอเลฟินส์ – คุณสมบัตินี้จะปรับกำหนดการผลิตสารโอเลฟินส์ในโรงงานทั้งหมดให้เหมาะสมได้แบบไดนามิก (Closed loop dynamic optimization) และช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเพิ่มผลกำไรสูงสุด นอกจากนี้ จัดให้มีโฟลว์ชีตที่ใช้งานง่ายจึงช่วยลดความยุ่งยากในขั้นตอนการสร้างแบบจำลอง การปรับใช้งาน และการบำรุงรักษา และช่วยปรับการวางแผนให้เข้ากับการปฏิบัติงานได้อย่างเรียลไทม์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
• Aspen Production Execution Manager (APEM) – ช่วยเร่งให้การปฏิบัติตามคำสั่งได้เร็วขึ้น เพื่อให้มีความสม่ำเสมอและคุณภาพของผลิตภัณฑ์สูงตามกฎระเบียบได้อย่างถูกต้องตลอดเส้นทาง ทั้งนี้ แอปพลิเคชัน APEM Mobile บนเว็บใหม่จะให้ความคล่องตัวและประสบการณ์หน้าจอสัมผัสที่ใช้งานง่าย มาพร้อมกับเวิร์กโฟลว์ของกระบวนการทำงานที่ปรับให้เหมาะสมได้และเร็วขึ้น 5 เท่า จึงสามารถรับประกันถึงประสิทธิภาพ การดำเนินการที่แม่นยำ และความเร็วในระดับสูงมากขึ้น
• Aspen Supply Chain Management (SCM) Insights – จะเชื่อมประสานการทำงานกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในห่วงโซ่อุปทานให้ราบรื่นเป็นสภาพแวดล้อมที่ยืดหยุ่นเดียวกันได้ ซึ่งออกแบบมาเพื่อทำให้ดำเนินการวางแผนการขายและการดำเนินงานรายเดือน (Sales & Operations Planning: S&OP) เป็นแบบดิจิทัล และการวางแผนธุรกิจเป็นแบบบูรณาการ (Integrated Business Planning: IBP) เพื่อสร้างมูลค่าและผลลัพธ์ทางธุรกิจในระดับสูงได้
• Aspen UnscramblerTM – เร่งขั้นตอนการวิเคราะห์ให้รวดเร็วมากขึ้นและชาญฉลาดยิ่งขึ้นด้วยคุณสมบัติใหม่ๆ สำหรับขั้นตอนการเตรียมการผลิตและจัดการข้อมูลแบทช์ รวมถึงสามารถปรับปรุงการวิเคราะห์ชุดข้อมูลขนาดใหญ่ให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้นได้อีกด้วย