สำหรับ คริสโตเฟอร์ โนแลน ผู้กำกับมากชื่อแห่งฮอลลีวูดที่เคยฝากผลงานดังๆไว้มากมายไม่ว่าจะเป็น The Dark Knight, Inception หรือ Interstellar แต่หนังที่ผ่านมาของเขาล้วนเป็นเรื่องที่เป็นเรื่องแต่ง(fictional) ทั้งนั้น ซึ่งทำให้ Dunkirk คือหนังเรื่องแรกที่สร้างจากเรื่องจริง และยังเป็นหนังสงครามเรื่องแรกของเขาอีกด้วย ทำให้หลายคนอยากรู้ถึงมุมมองของผู้กำกับคนนี้ต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น
หนังสงครามถือว่าเป็นอีกหนึ่งแนวของหนังที่อาจเฉพาะทางอยู่บ้าง เนื่องจากส่วนมากจะมีเนื้อหาจริงจังและบรรยากาศที่กดดัน ทำให้บางคนดูแล้วเครียดกว่าเดิม แทนที่จะมาผ่อนคลายรับความสนุกตื่นเต้น และในทางกลับกัน ก็อาจทำให้บางคนบันเทิงในตอนที่ตัวเองตื่นเต้นได้
Dunkirk สมรภูมิของฟันเฟืองแห่งสงคราม
หนังไม่ได้เล่าเรื่องแบบนับ 1 ถึง 10 แต่คอยสลับมุมมองของแต่ละเหตุการณ์ให้เราดูไปเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งคือแนวทางในการนำเสนอของตัวผู้กำกับเอง อีกส่วนนึงก็น่าจะเป็นการพยายามสื่อสารให้เรารับรู้ถึง perspective ของสงครามในภาพรวม ไม่ได้เล่าผ่านมุมมองตัวละครเอกที่คนดูต้องร่วมหัวจมท้ายไปด้วยจนจบ
ทำให้มีผลโดยตรงที่ทำให้เราจะไม่ค่อยอินกับตัวละครในเรื่องเท่าหนังเรื่องอื่น แต่กลายเป็นว่าการเลือกที่จะเล่าผ่าน ‘ตัวประกอบที่เป็นหนึ่งในฟันเฟืองของสงคราม’ (และหน้าตาดี!) ทำให้คนดูได้รับรู้ถึง ‘บรรยากาศ’ ของสงคราม ที่หนักหน่วงและอึดอัด มีความบีบคั้นขนาดที่ว่าสามารถรับรู้ได้ถึงน้ำที่เข้าไปในปอดของทหารที่กำลังตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด
อารมณ์ของหนังแม้จะเป็นหนังสงคราม แต่ไม่ค่อยมีการดราม่าแบบเอื้อนเอ่ยทรมาน ถ้าเปรียบเป็นเพลงก็คือเพลงช้า แต่เรื่องนี้บรรยากาศในเรื่องเป็นเพลงเร็วที่มีจังหวะต่อเนื่อง ทุกอย่างไม่หยุดนิ่ง ต้องเดินต่อตลอดเวลา ไม่มีช่องว่างให้ครุ่นคิด หนึ่งเหตุผลคือมันเป็นหนังสงครามที่เล่าเรื่องการอพยพครั้งใหญ่ โดยทุกๆวินาทีในหนังคือกระบวนการเหล่านั้น ไม่ใช่สงครามที่พยายามบอกถึงความโหดร้ายในการต่อสู้โดยตรง(แต่ขึ้นชื่อว่าสงคราม จะมุมไหนก็แฝงความโหดร้ายไว้หมด)
สำหรับเนื้อหาทางวิชาการ ถ้าใครไม่ค่อยสันทัดแนวนี้แต่อยากไปดูให้รู้รายละเอียดแบบครบถ้วน ก็สามารถอ่านเรื่องย่อของเหตุการณ์ได้ แม้มันอาจสปอล์ยเรื่องราวอยู่บ้างแต่ไม่สำคัญเท่าไหร่นัก เพราะหนังไม่ได้โฟกัสภาพย่อยเท่าไหร่ สิ่งที่สำคัญคืออารมณ์และบรรยากาศที่ถูกเล่าระหว่างทางมากกว่า ดังนั้นจะบอกว่าหนังเรื่องนี้ขายอารมณ์ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง แต่จริงๆไม่ใช่หนังสงคราม ก็ได้เหมือนกัน
ถ่ายทำด้วยฟิล์ม 65mm ให้ภาพสวยจนลืมไม่ลง
เรื่องโปรดักชั่นหรือคุณภาพการผลิต งานภาพเป็นอีกข้อที่วางใจได้ เพราะเรื่องนี้ใช้งาน Hoyte Van Hoytema (โฮยเตอ ฟัน โฮยเตอมา) ผู้กำกับภาพที่เคยร่วมงานกันตอน Interstellar มาถ่ายทำด้วย โดยใช้ฟิล์ม 65mm ในการถ่ายทำ และเพราะว่าเป็นหนังที่มีฉากริมทะเล-ท้องฟ้า อยู่เยอะ ซึ่งสีสดๆกว้างของบรรยากาศพวกนี้พอเป็นฟิล์มแล้วมันสวยมากจริงๆ จึงควรค่าแก่การดู IMAX
และเรื่องคุณภาพเสียง ยังได้ Hans Zimmer ผู้ที่เคยประพันธ์เพลงให้หนังเรื่องก่อนๆของโนแลนมาทำให้อีกครั้ง ผลคือมันทรงพลังมากจริงๆ สอดประสานดีกับความเป็นหนังกึ่งเงียบ(ตัวละครพูดจากันน้อยมากในเรื่อง)โดยมีเกร็ดนิดหน่อยตรงที่เขาใช้นาฬิกาพกเรือนโปรดของโนแลนในการทำเสียงประกอบอีกด้วย
หนังสงครามในอีกรูปแบบที่ไม่อยากให้พลาดกัน
เรื่องที่ว่าโนแลนไม่นิยม Netflix ซึ่งเมื่อดูเรื่องนี้จบ สามารถเข้าใจได้ แม้ผู้เขียนจะไม่เห็นด้วยกับเขา เพราะสุดท้ายยังไงการดูหนังออนไลน์ก็อาจเป็นทางเลือกหลักในอนาคต(หรือเป็นไปแล้ว) หนังเรื่องหนึ่งด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันเราสามารถเอาไปดูที่ไหนก็ได้ คุณภาพไฟล์ก็พัฒนาเยอะขึ้นมากเรื่อยๆ
แต่คนทำหนังเขาไม่ได้ขายแค่ภาพและเสียง เขาตั้งใจทำเพื่อบรรยากาศในขณะที่เรากำลังเข้าถึงเรื่องราวด้วย ซึ่ง ดันเคิร์ก เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบ แต่การดูในจอทีวี กับในโรง ให้ประสบการณ์ที่ไม่สามารถทดแทนกันได้เลย จึงไม่อยากให้พลาดการชมเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ครับ(โดยเฉพาะอย่างยิ่ง IMAX)