สวัสดีสาวกซัมซุงทุกท่าน เราจะพามาชม รีวิว Galaxy Z Flip3 5G กันครับ ส่วนใครยังไม่อ่าน รีวิว Galaxy Z Fold3 5G สามารถแสะอ่านก่อนได้ อย่างที่ทราบกันว่า Galaxy Z Fold3 5G | Flip3 5G เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา พร้อมประกาศราคาและวันวางจำหน่ายเป็นที่เรียบร้อย
ซึ่ง Galaxy Z Flip3 5G เป็นรุ่นที่ต่อยอดมาจาก Galaxy Z Flip ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2020 ซึ่งในรุ่นนี้ได้มีการอัพเกรด แล้วก็เพิ่มความแข็งแรง รวมถึงแก้ไขปัญหาที่เจอในรุ่นก่อนหน้า เรียกได้ว่ามีการรับฟังและนำความคิดเห็นของผู้ใช้ที่ต้องการให้สมาร์ทโฟนมีความแข็งแกร่งขึ้น เพื่อพร้อมรองรับรูปแบบการใช้งานที่หลากหลายมาพัฒนาให้เกิดขึ้นจริง
สั่งซื้อ Galaxy Z Fold3 | Flip3 5G
จะว่าไปจริงๆแล้วในรุ่นนี้ถือเป็นรุ่นที่ 2 ของตระกูล Z Flip เข้าใจว่าเพื่อป้องกันการสับสน ไหนๆ ก็เปิดตัวพร้อมกับ Galaxy Z Fold3 แล้วก็ให้เป็นเลข 3 ด้วยกันเลยละกัน
Galaxy Z Flip3 5G มาพร้อมกับดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวขึ้น บางลง กะทัดรัด พกพาสะดวก รวมถึงหลากหลายฟีเจอร์อันล้ำสมัย กล้องที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ตามคำเรียกร้องของแฟนๆ และหน้าจอด้านหน้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้น แสดงผลวิดเจ็ดได้เยอะขึ้น
Galaxy Z Flip3 5G วางจำหน่ายในราคา 34,900 บาท (128GB) และ 36,900 บาท (256GB) มาในตัวเลือก 4 สีสุดโมเดิร์น ได้แก่ สีครีม, สีเขียว, สีม่วงลาเวนเดอร์ และ สีดำ Phantom Black เพิ่มความชิคด้วยเคสรุ่นใหม่ที่มาพร้อมห่วงและสายคล้องนิ้ว ซึ่งจะช่วยให้การถือและเปิดใช้งานสมาร์ทโฟนสะดวกยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ซัมซุงยังให้ผู้ใช้เลือกแมทช์สีให้เข้ากับสไตล์ของตัวเองได้มากขึ้นด้วยสีพิเศษ ได้แก่ สีเทา, สีชมพู และสีขาว เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะ Samsung.com เท่านั้น และทางซัมซุงเองก็มีโปรโมชั่นให้นำเครื่องเก่ารวมสูงสุด 3 เครื่องมาแลกเป็นส่วนลด ซื้อ Galaxy Z Flip3 5G ได้อีกด้วย
รีวิว Galaxy Z Flip3 5G รุ่นใหม่ปรับโฉมดีไซน์ให้มีความชิค
Samsung Galaxy Z Flip3 5G (อ่านว่า กาแลคซี่ ซี ฟลิป 3) ที่เรากำลังจะรีวิวให้ชมกันมาพร้อมกับชิป Qualcomm Snapdragon 888 แบบ 5nm ที่ทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดีกับ 5G band พร้อมด้วยชิฟกราฟฟิก Adreno 660 ให้การเล่นเกมที่ลื่นไหล สมจริงแรม 8GB รอม 128GB (UFS3.1) สีครีม
สำรวจตัวเครื่อง
หน้าจอด้านนอก Cover screen
Galaxy Z Flip3 5G มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ที่ดูโฉบเฉี่ยวขึ้นและเพิ่มสีสันของตัวเครื่องให้เลือกหลากหลายขึ้นกว่าเดิม ตัวหน้าจอแสดงผลด้านนอกหรือ Cover screen ออกแบบให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 4 เท่าทำให้ใช้งานได้หลากหลายขึ้น โดยมีขนาด 1.9 นิ้ว แบบ Super AMOLED Display ความละเอียดเ 260 x 512 พิกเซล 302ppi ความสว่าง 935 nits
แจ้งเพื่อทราบ: ขนาดหน้าจอวัดขนาดตามแนวทแยง หน้าจอหลักของ Galaxy Z Flip3 5G มีขนาด 1.9 นิ้ว เมื่อวัดตามพื้นที่เต็มของสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือ 1.8 นิ้ว เมื่อวัดจากมุมโค้งของจอ โดยพื้นที่จอแสดงผลอาจมีขนาดเล็กลงจากมุมโค้งของจอ
สามารถดูข้อความแจ้งเตือน Widget ต่างๆโดยที่ไม่ต้องกางหน้าจอออกมาดู สามารถอ่านข้อความที่ส่งเข้ามาในเครื่องรวมถึงควบคุมการเล่นเพลงของเครื่องได้ด้วยการแจ้งเตือนต่างๆก็สามารถดูและอ่านได้จากหน้าจอนี้ได้เลย ที่สำคัญยังสามารถใช้เป็นหน้าจอเซลฟี่สำหรับถ่ายภาพตัวเองด้วยกล้องหลังได้อีกด้วย
และที่สำคัญสามารถเพิ่ม Widget ได้หลากหลายและอีกหนึ่งไฮไลท์ก็คือสามารถใส่ Wallpaper ให้ Cover screen ได้และสามารถทำให้ภาพพื้นหลังแมทช์กับ Galaxy Watch 4 Series ได้ด้วย
ตัวหน้าจอแสดงผลด้านนอกหรือ Cover Screen นอกจากจะเป็นหน้าจอสำหรับส่องภาพจากกล้องเวลาถ่ายเซลฟี่แล้วยังสามารถควบคุมสั่งงานกล้องได้ด้วยเช่นสลับหมดถ่ายภาพถ่ายวีดีโอหรือแม้แต่สลับเลนส์ก็ทำได้เช่นกัน
นอกจากนั้นสามารถแตะที่หน้าจอ Cover screen เพื่อถ่ายภาพได้ด้วยเรียกว่าเพิ่มความสะดวกในการใช้งานขึ้นไปเยอะมาก ตัวหน้าจอด้านนอกยางรองรับการแสดงผลทั้งแนวตั้งและแนวนอนของแอปกล้อง
หน้าจอหลัก
หน้าจอหลัก ขนาด 6.7 นิ้ว แบบ Dynamic AMOLED 2X Infinity Flex Display อัตราส่วนของภาพ 22:9 ความละเอียด FHD+ 2640 x 1080 พิกเซล 425ppi อัตรา Refresh Rate ของหน้าจอสูงสุดถึง 120Hz สามารถปรับได้โดยอัตโนมัติตามลักษณะการใช้งาน ความสว่าง 900 nits (HBM), 1200 nits (peak)
แจ้งเพื่อทราบ: ขนาดหน้าจอหลักวัดขนาดตามแนวทแยง หน้าจอหลักของ Galaxy Z Flip3 5G มีขนาด 6.7 นิ้ว เมื่อวัดตามพื้นที่เต็มของสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือ 6.6 นิ้ว เมื่อวัดจากมุมโค้งของจอ โดยพื้นที่จอแสดงผลอาจมีขนาดเล็กลงจากมุมโค้งของจอ
หน้าจอหลักทำจาก Samsung Ultra Thin Glass ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสมาร์ทโฟนจอพับได้ พร้อมฟิล์มกันรอยแบบยืดชนิดใหม่ (Stretchable PET) และการปรับชั้นแผงหน้าจอหลัก ซึ่งส่งผลให้หน้าจอมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 80%
ทาง Samsung ได้เคลมเอาไว้ว่า นี่คือกระจกที่แข็งแกร่งที่สุดใน Galaxy Z สามารถรับแรงกระแทกได้สบายๆ เนื่องจากตัวเครื่องทั้งด้านหน้าและหลังห่อหุ้มด้วย Corning® Gorilla® Glass Victus™ ซึ่งสามารถทนต่อการตกหล่นจากที่สูง 2 เมตรได้ และทนต่อการขีดข่วนได้มากกว่าถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับกระจกอะลูมิโนซิลิเกต
กล้องหน้ามาพร้อมกับความละเอียด 10 ล้านพิกเซลสำหรับเป็นกล้องเซลฟี่โดยเป็นกล้องที่อยู่ตรงกลางรวมอยู่ในหน้าจอแสดงผลแต่ไม่ได้ถูกซ่อนใต้จอเหมือน Galaxy Z Fold3 5G เลยทำให้สามารถใส่กล้องที่มีความละเอียดสูงมากกว่า Galaxy Z Fold3 5G นั้นเอง
ตัวเครื่องเมื่อพับหน้าจอลงจะมีขนาดเพียงแค่ 4.2 นิ้วเล็กพอที่จะใส่กระเป๋าเสื้อได้เลย น้ำหนักของตัวเครื่องก็ 183 กรัม
มาพร้อมกับนวัตกรรมบานพับ Hideaway Hinge’ ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติรูปแบบการพับไปอย่างสิ้นเชิงด้วยความสามารถในการกางออกและปรับองศาหน้าจอได้ตามต้องการเมื่อใช้งาน Flex mode พร้อมสร้างความเชื่อมั่นด้วยผลการทดสอบความแข็งแกร่งต่อการพับ 200,000 ครั้ง จาก Bureau Veritas
ทาง Samsung ได้มีการปรับเส้นใยไฟเบอร์ของ Sweeper technology ที่ทำหน้าที่กันฝุ่นละอองและสิ่งแปลกปลอมไม่ให้เข้าไปที่บานพับให้มีขนาดสั้นลง
ชาร์จแบตผ่าน Type-C iv รองรับชาร์จเร็ว 15W และชาร์จเร็วแบบไร้สาย 10W นอกจากนั้นยังมีฟีเจอร์ชาร์จให้อุปกรณ์อื่นที่รองรับแบบไร้สาย 4.5W
มาพร้อมกับลำโพงสเตอริโอ ระบบเสียงรอบทิศทางโดย Dolby Atmos technology (Dolby Digital, Dolby Digital Plus included) UHQ 32-bit &DSD64/128 support*, PCM: Up to 32 bits, DSD: DSD64/128
ตัวเครื่องมีขนาดดังนี้
- โหมดพับ 72.2 x 86.4 x 15.9 – 17.1 มม. (ด้านบานพับ)
- โหมดกาง 72.2 x 166.0 x 6.9 มม.
- น้ำหนัก 183กรัม
รองรับ Capacitive Fingerprint sensor ที่ด้านข้าง ตัวเซ็นเซอร์จะอยู่บนปุ่ม Power ของเครื่อง
และตัววัสดุเป็น Armor Aluminium ที่เป็นอลูมิเนียมที่แข็งแรงที่สุดเท่าที่เคยนำมาใช้กับสมาร์ทโฟน นอกจากจะแข็งแรง น้ำหนักเบาแล้ว ยังมีความทนทานมากขึ้น 10% ด้วย
จุดเด่นสำคัญอีกหนึ่งอย่างที่จะไม่พูดถึงก็คงเป็นไปไม่ได้ก็คือในรุ่นนี้มาพร้อมกับมาตรฐานการทนน้ำระดับ IPX8 ถือเป็นครั้งแรกในสมาร์ทโฟนตระกูล Z Series ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติการทนน้ำ หมายถึงความสามารถทนน้ำลึก (น้ำสะอาด) ที่ระดับ 1.5 เมตร นานสูงสุด 30 นาที ไม่รองรับการกันฝุ่น สามารถโดนน้ำหรือทำน้ำหกใส่ได้ แต่ไม่แนะนำให้เอาลงไปใต้น้ำ
แบตเตอรี่ให้มา 3,300mAh รองรับ QC2.0 และ AFC สำหรับการชาร์จแบบมีสาย, และ WPC และ PMA สำหรับชาร์จแบบไร้สาย โดยส่วนล่างของจองเครื่องจะมีแท่นสำหรับชาร์จไร้สายอยู่
กล้องหลัง
- 12MP Wide-angle Camera: Dual Pixel AF, OIS, F1.8,Pixel size: 1.4μm, FOV: 78˚
- 12MP Ultra-Wide: F1.8, FOV: 123˚
- กระจก Super clear glass with Corning® Gorilla® Glass with DX
- Up to 10x digital zoom, HDR10+ recording, Tracking AF
ซอฟร์แวร์และการใช้งาน
พร้อมกับ Android 11 เหมือนกับ Galaxy Z Fold3 5G และครอบทับด้วย One UI 3.1.1 ส่วนตัวชอบฟิลลิ่งการตอบสนองของตัวนี้มากกว่า ไม่รู้ทำรู้สึกว่าตอบสนองดีกว่า Galaxy Z Fold3 5G อาจจะหน้าจอที่จับถนัดมือกว่า เช่นกันรุ่นนี้ก็สลับแอปเร็วมาก แบบไม่ต้องรอเลย สลับแล้วใช้งานต่อได้ทันที แจ่มมาก เมนูตั้งค่าของตัวเครื่องก็แสดงเหมือนในสมาร์ทโฟนของซัมซุงเลย ไม่ได้เป็น Dual-Pane เหมือน Z Fold3 และมีธีมมืดให้ใช้งาน มาพร้อมกับ Samsung Knox แพลทฟอร์มมอนิเตอร์และป้องกันข้อมูลแบบเรียลไทม์ ป้องกันไวรัสและมัลแวร์ได้ด้วย
ในแง่ความปลอดภัยรองรับการปลดล็อคแบบ แพทเทิร์น, PIN, password รูปแบบการล็อคแบบ Biometric ก็มี เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ และ การจดจำใบหน้า
ในแง่ความบันเทิง ดีเยี่ยม จอสวยคม ภาพชัด แม้ว่าจะเป็นแอปสตรีม Disney+ Hotstar, Netflix และ YouTube ทำได้ดีครบ ที่สำคัญเสียงดังกระหึ่มมีมิติมาก
ข้อดีของมือถือพับได้ คือเหมือนมีแท่นวางมือถือประจำตัว หากเราต้องการดูคลิป ดู content ต่างๆ ในระหว่างการกินข้าว หากเป็นรุ่นอื่นก็ต้องหาแท่นวาง หรือพิงกับสิ่งของ แต่รุ่นนี้ไม่ต้อง แค่พับหน้าจอ แล้วลากอีกแอปมาอยู่ด้านล่างแค่นั้นก็ดู content ที่ต้องการที่จอบนได้แล้ว
หากอยากดูแนวนอน ก็ทำได้ แม้ว่าการกางหน้าจอออกสุดจะวางแนวนอนไม่ได้ เราก็ไม่ต้องกางออกสุด กางออกให้จอมีความโค้งพอที่จะตั้งแนวนอนอยู่ แค่นั้นเราก็ดูแนวนอนได้แล้ว
ในแง่การเชื่อมต่อ รุ่นนี้รองรับ Wi-Fi 6E 802.11 a/b/g/n/ac/ax 2.4G+5GHz, HE80
รุ่นนี้เหมาะสำหรับสายอ่าน content มากๆ เพราะด้วยหน้าจอที่พับได้ และกางออกเป็นจอใหญ่ ทำให้มีพื้นที่ในการแสดงผลที่หลากหลาย
Netflix ได้รับชมเต็มคุณภาพของ content ไม่ต้องกังวลเรื่องความไม่คมชัด มาเต็มทั้งภาพและเสียง
เซลฟีได้จากหน้าจอด้านนอก
หากต้องการภาพเซลฟี่ที่มีความละเอียดมากกว่ากล้องหน้าทั่วไปฟีเจอร์นี้ตอบโจทย์มากๆนอกจากไม่ต้องเสียเวลากลางเครื่องออกแล้วเรายังสามารถถ่ายเซลฟี่ด้วยกล้องหลังที่มีความละเอียดมากๆ ในการเข้าถึงแอปกล้องก็ทำได้ง่ายและรวดเร็วเพียงแค่กดปุ่ม power 2 ครั้งติดกันหยิบมือถือขึ้นมาส่องดูหน้าตัวเองได้เลย
สามารถหมุนกล้องได้ทุกแนวโดยหน้าจอ Cover Screen จะหมุนหน้าจอตามหากต้องการกดถ่ายภาพก็กดปุ่มปรับระดับเสียงเพื่อเป็นชัตเตอร์หรือแตะที่หน้าจอ Cover screen ก็ได้เช่นกัน
เซลฟีแบบแฮนด์ฟรี
เราสามารถถ่ายภาพตัวเองโดยที่มือไม่ต้องถือสมาร์ทโฟนตลอดเวลาได้ด้วยรุ่นนี้เพียงแค่พับหน้าจอขึ้นมาแล้วเปิดแอปกล้องตัวกล้องจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือส่วนด้านบนสำหรับแสดงผลและส่วนด้านล่างเป็นฟังก์ชันสำหรับควบคุมกล้องต่างๆ เราสามารถปรับโหมดหรือตั้งค่ากล้องได้จากหน้าจอด้านล่าง
ด้วยฟีเจอร์นี้ทำให้เราสามารถถ่ายเซลฟี่ตัวเองโดยที่ไม่ต้องจับมือถือ สามารถกดถ่ายด้วยการตั้งเวลาหรือ สั่งงานด้วยเสียง หรือแสดงฝ่ามือเข้าหากล้องหน้าเพื่อถ่ายเซลฟี่
ฟีเจอร์นี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในหลายสถานการณ์เช่นการถ่าย Vlog ด้วยตัวเอง เราสามารถเปิดแอปกล้องถ่ายวีดีโอ แล้วตั้งไว้กับโต๊ะได้เลยโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง หรือการถ่ายในที่แสงน้อย ถ่ายในที่มืด ถ่ายตอนกลางคืน ถ่ายภาพดวงดาว บอกลาภาพสั่นไหวได้เลย แค่วาง Galaxy Z Flip3 5G และ Flex Mode ก็จะทำหน้าที่เหมือนเป็นขาตั้งกล้องให้เราปรับมุมกล้องได้ตามองศาที่ต้องการ
หรือการถ่ายไฮเปอร์แลป-ไทม์แลป ที่ต้องถ่ายนานๆ ก็สามารถตั้งสมาร์ทโฟนไว้กับโต๊ะโดยที่ไม่ต้องพึ่งขาตั้งกล้องแล้วก็จะได้ภาพในมุมมองที่แปลกใหม่ออกมา
Dual Preview
เป็นโหมดสำหรับถ่ายภาพเพื่อให้เพื่อนๆของเราได้เห็นตำแหน่งของตัวเองในกล้องแล้วโพสต์ท่าได้อย่างถูกต้องสวยงามเป็นการจัดเฟรมจัดท่าทางให้เข้าที่เข้าทางก่อนที่คนถ่ายภาพจะกดถ่ายโดยตัวแอปกล้องจะแสดงผลทางหน้าจอหลักและหน้าจอด้านนอก ทั้งคนที่ถือมือถือ และคนที่อยู่ในเฟรมจะเห็นภาพเดียวกัน ทำให้สามารถถ่ายภาพได้สวยตั้งแต่ช็อตแรก คนถ่ายภาพไม่ต้องค่อยบอกว่าขยับซ้ายหรือขยับขวา เดินหน้าหรือถอยหลัง คนอยู่ในเฟรมสามารถดูภาพจากจอด้านนอกและขยะเองได้เลย
Flex mode
โหมดนี้จะทำงานเมื่อเราพับหน้าจอขึ้นมาตัวหน้าจอจะแบ่งการแสดงผลออกเป็น 2 หน้า ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว แอปที่รองรับจะเป็นแอปที่ออกแบบ Interface มาเพื่อการแสดงผลแบบนี้เท่านั้น แทบทั้งหมดเป็นแอปของ Samsung เอง
สามารถวางตั้งหน้าจอไว้ได้ โดยไม่ต้องใช้มือคอยถือ หากใช้ Flex Mode กับแอปพลิเคชั่น third-party ไม่ได้ ลองเปิดใช้งาน Labs ในการตั้งค่าดู แค่นี้เราก็สามารถใช้ Flex mode กับทุกแอปได้แล้ว
Flex mode บนแอปปฏิทิน เมื่อกางหน้าจอออกตัวแอปจะแสดงผลเต็มจอ แต่เมื่อพับหน้าจอ จะมีการแสดงผลเป็น 2 ส่วน ด้านบนเป็นปฏิทิน ด้านล่างจะมีพื้นที่สำหรับ ใส่ข้อมูลสำหรับวันนั้นๆ
Flex mode บนแอปกล้อง เมื่อพับหน้าจอแอปกล้องตัวกล้องจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือส่วนด้านบนสำหรับแสดงผลและส่วนด้านล่างเป็นฟังก์ชันสำหรับควบคุมกล้องต่างๆ เราสามารถปรับโหมดหรือตั้งค่ากล้องได้จากหน้าจอด้านล่าง แต่บนรุ่นนี้ Flex mode ทำได้แค่แนวตั้ง แนวนอนไม่สามารถทำได้
นอกจากนั้น Flex mode ยังสามารถให้เราสลับตำแหน่งจอแสดงผลด้วย สามารถย้ายจอกล้องลงมาด้านล่าง และย้ายตำแแหน่งปุ่มควบคุมกล้องขึ้นไปด้านบนแทน
MULTITASKING Multi-Active Window
มันคือ Multi-Active Window นั้นแหละ สามารถแบ่งหน้าจอออกเป็น 2 ส่วน บนและล่าง เปิดแอปได้พร้อมกัน 2 แอป สามารถควบคุมและสั่งงานได้อย่างอิสระ หากใช้ Multi-Active Window กับแอปพลิเคชั่น third-party ไม่ได้ ลองเปิดใช้งาน Labs ในการตั้งค่าดู แค่นี้เราก็สามารถใช้ Multi-Active Window กับทุกแอปได้แล้ว
สามารถบันทึกแอปพลิเคชั่น ที่ Edge Panel เพื่อกดเปิดพร้อมกันได้อย่างรวดเร็ว เพื่อดูคอนเทนต์ แชท และอื่นๆ อีกมากมาย อยากเปิดแอปไหนแค่ลากไปยังตำแหน่งบนหรือล่างที่ต้องการให้แสดงผล
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง
ภาพตอนกลางคืน
ภาพตอนกลางวัน