หากพูดถึงมือถือที่แรงที่สุดของปีนี้ หนึ่งในรุ่นที่จะปฏิเสธไม่ได้คือ Galaxy S8 และ S8+ เรือธงตัวใหม่ในปี 2017 ของค่ายซัมซุง เปิดตัวและวางขายในบ้านเราไปเมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา ด้วยราคาที่แพงกว่ารุ่นเดิมพอสมควร
โดย Galaxy S8 วางขายที่ราคา 27,900 บาท และ S8+ ราคา 30,900 บาท มีวางขายครบทุกช่องทางทั้งออนไลน์ ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายขายมือถือต่างๆ รวมถึงเครือข่ายมือถือ
จุดเด่นของรุ่นนี้นอกจากเรื่องสเปกแล้ว ยังมีลูกเล่นต่างๆ ที่น่าสนใจ อาทิ ดีไซน์ที่เปลี่ยนไป ไม่มีปุ่มโฮม ใช้การควบคุมผ่านปุ่มบนหน้าจอแทน
รวมถึงการยืนยันตัวตนก่อนเข้าใช้งานเครื่อง ที่เดิมทีมีแค่ระบบสแกนนิ้วมือ แต่ใน S8, S8+ ได้เพิ่มการสแกนม่านตาเข้ามา มาพร้อมกับหูฟังที่ปรับแต่งเสียงโดย AKG พร้อมชิปประมวลผลเสียงตัวใหม่ที่ชื่อว่า Richer UHQ Audio 32-bit ที่ช่วยให้เสียงที่ได้มีพลังขึ้น รายละเอียดของเสียงดีขึ้น ยิ่งคนที่ฟังเพลงจำพวก Lossless ต้องชอบแน่นอน
นอกจากนั้นที่ขาดไม่ได้คือผู้ช่วยคนใหม่ ที่ชื่อว่า Bixby
ข้อมูลสเปก
- มีสองขนาดหน้าจอ 5.8 2K QHD+ 2960×1440 พิกเซล
- กระจก Gorilla Glass 5 ทั้งหน้าจอและหลังเครื่อง
- ชิปประมวลผล Exynos Octa Core (2.35GHz Quad + 1.9GHz Quad)
- ชิปกราฟฟิก Mali-G71 MP20
- หน่วยความจำ UFS 2.1 64 GB เพิ่ม microSD 256 GB
- แรม LPDDR4 4 GB
- กล้องหลัง 12 ล้านพิกเซล F1.7
- กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล F1.7 มี Autofocus
- แบตเตอรี 3,000 mAh
- ระบบปฏิบัติการพื้นฐาน Android 7.0 Nougat
- กันน้ำ IP68
- รองรับ Wireless Charge
- Bluetooth 5.0 A2DP, LE, aptX
- USB Type-C 3.1
- Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac
- ชิปประมวลผลเสียง Richer UHQ Audio 32-bit/384kHz
- รองรับ Force Touch
สำรวจตัวเครื่อง
ย้อนกลับไปตั้งแต่ S6 ซัมซุงจะมีมือถือเรือธงด้วยกัน 2 โมเดล (ไม่นับตระกูล Galaxy Note) คือ Galaxy S6 และ Galaxy S6 edge พอเป็น S7 ก็ยังคงเป็น 2 โมเดล คือ Galaxy S7 และ Galaxy S7 edge
แต่ใน Galaxy S8 ยังคงมีเรือธง 2 โมเดิลเช่นเดิม แต่แตกต่างตรงที่ ไม่แยกรุ่นด้วยคุณสมบัติหน้าจอโค้งแบบ edge อีกแล้ว ใส่หน้าจอโค้งแบบ edge มาทั้งสองรุ่น แต่เพิ่มขนาดหน้าจอแทน (นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ผลลังเลในการซื้อ S8 เพราะผมไม่ชอบจอโค้ง ถือยาก หวงว่าจะหลุดมือตลอด และที่สำคัญ ผมไม่คิดว่าหน้าจอ edge มันจะมีประโยชน์ขนาดนั้น จึงใช้ S6 ธรรมดา และ S7 ธรรมดาแทนที่จะใช้ edge)
S8, S8+ ใช้หน้าจอโค้งแบบ edge ทั้งคู่ โดยโค้งมากถึงระดับ 6R โค้งจนมองด้วยตาเปล่าจนคิดว่ามันไร้ขอบ จึงเป็นที่มาของคอนเซ็ปท์ไร้ขอบ Infinity Display ที่ซัมซุงโฆษณา ซึ่งจริงๆ แล้ว ยังคงมีขอบอยู่ แต่ขอบบางมากๆ และด้วยหน้าจอที่โค้งทั้งสองด้านทำให้มองเหมือนไม่มีขอบหน้าจออยู่เลย
ตัวหน้าจอเป็น Super AMOLED ขนาด 5.8 นิ้ว สำหรับ S8 และ 6.2 นิ้วสำหรับ S8+ (ในบทความนี้ผมจะขอพูดถึงแค่ S8 อย่างเดียว) จากภาพด้านบนจะเห็นว่าขนาดหน้าจอจะใหญ๋กว่า S7 พอสมควร แต่ตัวเครื่องกลับไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ ด้วยความที่มันขอบบางมากๆ จึงทำให้ตัวเครื่องไม่ใหญ่เท่าที่ควร หน้าจอแสดงผลคิดเป็น 83.6% ของขนาดตัวเครื่อง ในขณะที่ S7 จอ 5.1 นิ้ว อยู่ที่ 72.1%
สำหรับ S8 ความละเอียดหน้าจออยู่ที่ 2K QHD+ (1440 x 2960 pixels) ความละเอียดต่อพิกเซลอยู่ที่ 570 ppi แม้ตัวเครื่องของ S8 จะหน้าจอ 5.8 นิ้ว การความรู้สึกจะเหมือนกับมือถือที่หน้าจอราวๆ 5.7 นิ้ว ด้วยความที่ขอบจอบาง จึงส่งผลทำให้ตัวเครื่องไม่จำเป็นต้องใหญ่เหมือนกับมือถือที่มีขอบจอหลายๆ รุ่น และส่งผลดีทำให้เราได้มือถือจอใหญ่ขึ้น แต่ยังให้ความรู้สึกว่าจับกระชับมืออยู่
ในภาพจะเห็นว่าผมติดฟิล์มแบบเต็มจอได้ อันนี้เป็นฟิลม์แบบ TPU ของซัมซุงทำมาขายเอง หาซื้อได้ที่ Samsung Shop ให้พนักงานติดให้หรือเอามาติดเองก็ไม่ยากอะไร (อันนี้ผมติดเอง)
ด้านบนของหน้าจอมี LED Notification สำหรับแจ้งเตือนต่างๆ นอกจากนั้นยังมีเซ็นเซอร์วัดระยะ และ Infrared บริเวณด้านบนของหน้าจออีกด้วย
กล้องหน้าให้มา 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7, autofocus, ถ่ายวีดีโอ 1440p@30fps, dual video call, Auto HDR มีโหมดบิ้วตี้มาให้ สามารถปรับแต่งได้ค่อนข้างหลากหลาย
อย่างที่บอกว่ารุ่นนี้ไม่มีปุ่ม Home แล้ว ปุ่มย้ายไปรวมในหน้าจอแสดงผลแทน แต่ว่าปุ่มโฮมไม่ได้หายไปไหน ยังแอพอยู่ที่เดิม แต่กลายเป็นแบบ Force Touch แทน
ด้านล่างมีช่องสำหรับใส่หูฟังขนาด 3.5 มม. ซึ่งในกล่องเองก็แถมหูฟังที่ผ่านมาปรับแต่งโดย AKG (ซัมซุงเป็นผู้ผลิต และ AKG เป็นผู้จูนเสียง) เท่าที่ผมทราบมาหูฟังที่แถมมาในกล่องของ S8 และ S8+ หากต้องการซื้อใหม่ จะต้องมีหลักฐานยืนยันว่าเป็นผู้ที่ใช้ S8, S8+ จริง หรือถ้าหูฟังพัง แล้วจะซื้อใหม่จะต้องถ่ายรูปสายเก่าที่เสียไปให้พนักงานดูด้วย ไม่งั้นจะไม่สามารถเบิกของมาให้ได้
ส่วน port เชื่อมต่อเปลี่ยนมาเป็น USB Type C 3.1 ยังคงรองรับ Fast charging (Quick Charge 2.0) เช่นเดิม ถัดไปเป็นรูไมโครโฟน และสุดท้ายลำโพงของตัวเครื่อง ที่ทำได้น่าผิดหวัง คิดว่าเสียงที่ได้ควรจะดีกว่านี้ได้อีก
ด้านบนเป็นช่องใส่ซิมการ์ด ซึ่งรองรับ 2 ซิมการ์ดแบบ micro SIM และเพิ่ม microSD ได้สูงสุด 256GB หากเพิ่ม microSD จะใส่ได้แค่ 1 ซิม ถ้าใส่ 2 ซิม จะใส่ microSD ไม่ได้ (ยกเว้นท่ายากที่ไปดัดแปลงกันเอง)
ด้านข้างของตัวเครื่องหนาแค่ 8 mm น้ำหนัก 155 กรัม บางและเบามาก เมื่อเทียบกับมือถือจอ 5.8 นิ้วรุ่นอื่นๆ
ฝาหลังใช้กระจก Gorilla Glass 5 เช่นเดียวกับกระจกหน้า แม้มีความแข็งแรงต่อแรงกระแทก และเกิดรอยยาก แต่ใส่เคสไว้ดีกว่า (ได้ข่าวมาว่าค่าเปลี่ยนกระจกหลังไม่แพงเท่ารุ่นเดิมแล้ว แต่อย่าแตกจะดีกว่า)
กล้องหลัง Dual Pixel 12 ล้านพิกเซล ตัวเลนส์เรียบเนียนไปกับตัวเครื่อง ไม่นูนออกมาเหมือนรุ่นก่อนหน้าแล้ว จากที่ได้ลองถ่ายภาพด้วย Auto Mode พบว่า คุณภาพของภาพสวยมาก คมใช่ได้ โดยเฉพาะภาพในที่แสงน้อย ทำได้ดีกว่า S7 พอสมควร ส่วนภาพในที่สภาพแสงปกติก็ไม่ต่างจาก S7 เท่าไหร่ ฟีเจอร์ต่างๆ ของกล้อง อาทิ
- รูรับแสง f/1.7
- มี autofocus (Smart Auto Focus)
- OIS
- LED flash
- เซ็นเซอร์ภาพขนาด 1/2.5″
- พิกเซลขนาด 1.4 µm
- ถ่ายวีดีโอความละเอียด 4K ได้
- โหมดถ่ายแบบมืออาชีพ Pro mode ปรับเปลี่ยนการตั้งค่า 6 ค่า ได้แก่ ISO, ความเร็วชัตเตอร์, ค่ารูรับแสง, โทนสี, โฟกัสแบบแมนน่วล และ WB (สมดุลของสีขาว)
- Selective focus ถ่ายภาพชัดลึก ชัดตื้น
เดิมทีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือจะอยู่บริเวณปุ่ม Home พอเอาปุ่มออก เซ็นเซอร์หลายต้องย้ายไปอยุ๋ข้างหลังของตัวเครื่องแทน เอาเข้าจริงๆ ผมว่ามันใช้งานยากขึ้น ตอนแรกคิดว่าอาจจะยังไม่ชิน แต่ใช้งานมาได้ราวๆ 1 เดือนพบว่ายังแตะเซ้นเซอร์ผิดๆ ถูกๆ อยู่ ผิดกับเซ็นเซอร์สแกนนิ้วของ Huawei P9 ที่ผมใช้มาเกือบปี ก็ไม่เคยเจอปัญหาการแตะไม่โดนเซ็นเซอร์เหมือน S8 เลย
ส่วนหนึ่งผมคิดว่าตัวเซ็นเซอร์ของ S8 มีขนาดเล็กกว่าของ Huawei P9 และตำแหน่งอยู่สูงกว่า ทำให้บางทีนิ้วไม่ถึง และบางองศานิ้วโดนไม่เต็มเซ็นเซอร์ เลยทำให้สแกนไม่ติด แต่เรื่องความเร็วผมไม่ติดปัญหาอะไร เพราะใช้งานมาตั้งแต่ S6 เห็นการพัฒนาที่ดีขึ้นมาโดยตลอด ยกเว้นแค่เรื่องย้ายตำแหน่งนี่แหละที่ทำให้ดูใช้งานลำบากขึ้น
จากที่ทดลองใช้งาน S8 แบบไม่ใส่เคสเลย พบว่าหยิบจับลำบากมาก กลัวจะหลุดมือสุดๆ แนะนำว่าหาเคสดีๆ สักอันมาใส่ดีกว่า จะช่วยให้จับถนัดมือ กระชับมือขึ้นแน่นอน ซึ่งในภาพผมก็ใช้เคสของซัมซุงเอง ราคาแพงเอาเรื่อง กัดฟันซื้อเลยทีเดียว
อ่อ… เกือบลืม รุ่นนี้กันน้ำได้สูงสุด 1.5 เมตรเป็นเวลา 30 นาที
ซอฟท์แวร์
S8 มาพร้อมกับ Android 7.0 Nougat ครอบด้วยอินเตอร์เฟสที่ซัมซุงพัฒนาขึ้นมาใหม่ จากการที่ใช้งานพบว่าการตอบสนองทำได้ดีมาก ลื่นไหล สลับแอพได้เร็ว ไม่เจออาการค้างหรือหน่วงให้เห็นเลย แต่ถ้าเทียบความลื่นกับ Galaxy S7 ตอบไม่ได้ แต่ความรู้สึกไม่แตกต่างกัน
บน S8 สามารถความละเอียดหน้าจอได้เอง เหมือนกับ S7 ที่อัพเป็น Android 7.0 โดยค่าเริม่ต้นอยู่ที่ Full HD ถ้าอยากได้ความละเอียดสูงสุดที่ WQHD ก็สามารถปรับเองได้จากเมนูตั้งค่า นอกจากนั้นยังสามารถเเลือกเปิด/ปิดแอพที่ต้องการให้แสดงผลแบบเต็มจอได้จากเมนูตั้งค่า
ในรุ่นนี้รองรับ Samsung Pay ด้วย หลายท่านยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร Samsung Pay คือ บริการจ่ายเงินผ่านมือถือ (Mobile Pay) นวัตกรรมการชำระเงินผ่านสมาร์ท
วิธีใช้งานก็ง่ายๆ แค่เพิ่มบัตรเครดิตของเราเข้าในแอพ Samsung Pay จากนั้นเวลาซื้อของเรามีแค่มือถือก็สามารถจ่ายตังค์โดยใช้บัตรเครดิตที่บันทึกำว้ใน Samsung Pay ได้ทันที
ฟังก์ชั่นห้ามรบกวน เป็นฟังก์ชั่นสำหรับจัดการเสียงแจ้งเตือน และเสียงริงโทน ในยามที่เราไม่ต้องการเสียง เช่นเวลานอน เราก็ตั้งไว้ว่า ตั้งแต่เวลา 4 ทุ่ม จนถึง 6 โมงเช้า ห้ามแจ้งเตือน ปิดเสียงทุกอย่าง
Smart Manager ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่ เป็น Device maintenance แต่คุณสมบัติต่างๆ ยังคล้ายเดิม คือเป็นตัวจัดการทรัพยากรในเครื่อง อย่างแบตเตอรี่, พื้นที่จัดเก็บข้อมูล), จัดการแรมของเครื่อง และระบบป้องกันอุปกรณ์
Multi-Window ฟังก์ชั่นที่อยู่กับซัมซุงมานาน ช่วยให้เราสามารถแบ่งหน้าจอมือถือเป็น 2 จอ สามารถใช้งาน 2 แอพได้พร้อมกัน (บางแอพไม่รองรับ)
ยังสามารถใช้ล็อคแอพพลิเคชั่น ทำให้เราสามารถใช้งานแอพบางอย่าง ได้ 2 Account บนเครื่องเดียว อาทิ Facebook, LINE นอกจากนั้นยังสามารถใช้ล็อครูปหรือโฟล์เดอร์ได้อีกด้วย
edge screen
edge screen จะแบ่งเป็นสองส่วน คือ edge panels ที่เป็นเหมือนอีกหนึ่งเมนูสำหรับแสดงผลต่างๆ เช่นแสดงปฏิทิน แสดงหน้าต่างการแจ้งเตือน หรือใส่ Shotcut สำหรับเปิดแอพ หรือโทรออก ซึ่งในส่วนของ edge panels สามารถทำได้หลากหลาย และยังสามารถดาวน์โหลด edge panels ตัวอื่นๆจาก Store เพิ่มเติมได้ (มีทั้งฟรีและเสียเงิน) อีกส่วนคือ edge lighting เป็นการใช้ความสว่างหน้าจอบริเวณ edge screen สำหรับแจ้งเตือน
Navigation bar
ที่สามารถปรับแต่งได้ ปรับเปลี่ยนสีของ bar ที่สามารถปรับแต่งได้ตามใจชอบ มีให้เลือกทุกสี หรือสลับตำแหน่งปุ่มให้ชินกับที่เราเคยใช้งานมา หรือแม้แต่ปรับการตอบสนองของปุ่ม Home
App Drawer
เดิมที่จะมี App Drawer ให้กดที่หน้าจอ แต่ใน S8 การเรียกใช้ App Drawer จะใช้วิธีสไลด์นิ้วขึ้นขึ้น App Drawer จะถูกเปิด และเลื่อนนิ้วลง App Drawer จะถูกปิด แต่ถ้าใครไม่ชินก็สามารถเปิด App Drawer แบบเดิมมาใช้งานได้ เปิดจากเมนู Settings>Display> Home Screen> Apps Button
การสแกนม่านตา (Iris Scanner)
หนึ่งในฟีเจอร์ที่เปิดตัวพร้อมกับ Galaxy Note 7 ถูกนำมาใช้ใน S8, S8+ ด้วย เท่าที่ได้ลองใช้งานพบว่ามันทำงานได้ดี ทำงานได้เร็วมาก
ผมเป็นคนนึงที่เคยรู้สึกว่าการสแกนม่านตาเป็นสิ่งที่ไม่เวิร์คกัน เพราะเคยลองกับหลายๆ รุ่นที่ทำมา พบว่ามันสแกนติดบ้าง ไม่ติดบ้าง สนแกนช้า ซึ่งมันไม่เหมาะในการช้งานจริง แต่พอได้ลองบน S8, S8+ พบว่ามันดีมาก ดีกว่าที่เคยใช้มา
การสแกนม่านตาทำได้ไวมาก คิดว่าน่าจะเร็วกว่าการสแกนนิ้วมือด้วยซ้ำไป การตั้งค่า และการเปิดใช้งานก็ทำได้งาน เพียงแค่เราเอาตาของเราจ้องไปที่ส่วนบนให้ตรงกับกล้อง และกรอบที่แสดง โดยต้องที่เราตั้งค่า จะต้องถอดแว่นออก ใช้เวลาไม่กี่วินาทีก็เสร็จ แต่ตอนใช้งานจริง เราไม่จำเป็นต้องถอดแว่นออกก่อนใช้
หลักการทำงานคือจะใช้อินฟาเรดในการสแกน แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะส่งผลต่อดวงตาของเรา มีความปลอดภัย ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยจาก International Electrotechnical Commission (IEC) 62471 ทำให้ใช้สแกนม่านตาได้อย่างปลอดภัย ไร้กังวล อินฟาเรดจะทำงานควบคู่กับเซ็นเซอร์วัดระยะห่างที่มีบนหน้าจอ จะเปิดเซ็นเซอร์อินฟาเรดก็ต่อเมื่อระยะห่างจากดวงตาเพียงพอที่จะไม่ส่งผลอันตรายใดๆกับดวงตาของเราเท่านั้น
ระบบจดจำใบหน้า (Face recognition)
นอกจากระบบสแกนลายนิ้วมือ ระบบสแกนม่านตา ยังมีระบบจดจำใบหน้าเพื่อปลดล็อคเข้าใช้งานเครื่องอีกด้วย เป็นลูกเล่นเล็กๆ สำหรับการปลดล็อคก่อนเข้าใช้งานเครื่องอีกแบบ จากการใช้งานจริงใช้งานยากกว่า ระบบสแกนลายนิ้วมือ และ ระบบสแกนม่านตา เลยไม่แนะนำให้ใช้เท่าไหร่
Bixby ผู้ช่วยอัจฉะริยะ
Bixby คือผู้ช่วยคนใหม่cmo S Voice ที่หลายคนลืมไปแล้ว ซัมซุงได้ใส่ Bixby มาพร้อมกับ S8, S8+ การทำงานคล้ายๆ Siri ของฝั่ง iOS หรือ Google Now ของ Android โดย Bixby เข้าใจทั้งคำพูด ข้อความ และสัมผัส เวลาอยากรู้อะไร ถ้านึกคำพูดไม่ออกก็เพียงเปิดกล้องเพื่อให้ Bixby ทำหน้าที่ค้นหาสิ่งนั้นให้คุณ
บน Galaxy S8, S8+ จะมีปุ่มพิเศษที่เป็นปุ่มสำหรับเรียกใช้ Bixby โดยเฉพาะเลย นอกจากการเป็นผู้ช่วยแล้ว Bixby ยังมีหน้าที่ในการแจ้งเตือน เช่น เราจะเดินไปสถานที่ใดสักแห่งหนึ่ง ก็ใช้ Bixby เป็นตัว Reminder ผู้ใช้งานได้เลย ไปจนถึงสั่งการบันทึกต่างๆ และยังเสียงเป็นคำสั่งการใช้งานได้ด้วย
Crop to fit
นอกจากเรื่องหน้าจอที่ใหญ่ แบบมองไม่เห็นขอบจอกันแล้ว อีกหนึ่งอย่างที่ชอบคือการใส่ฟีเจอร์ที่ทำให้เราสามารถดูหนัง หรือเล่นเกมได้แบบเต็มจอจริงๆ ไม่มีขอบดำด้านข้างให้รำคาญใจ แต่ก็แลกมาด้วยการที่จะต้องเสียพื้นที่บริเวณขอบของหนัง หรือเกมแลกกับการแสดงผลเต็มจอ 18.5:9
ในกรณีที่เป็นหนังหรือคลิปใน Youtube สามารถทำได้ โดยที่ไม่ต้องกังวลอะไร เพราะโดยมาก บริเวณขอบจอจะเป็นพื้นที่ที่ไม่มีสาระสำคัญอะไรอยู่ แต่ในกรณีของเกมไม่ใช่แบบนั้น บางเกมมีเมนู หรือปุ่มอยู่บริเวณขอบ ทำให้เราอาจจะเสียพื้นที่ตรงนั้นไป แต่ก็มีบางกรณีที่ปุ่มไม่โดนครอปไป แต่ทำให้การกดที่ปุ่มนั้นยากขึ้น บางทีก็กดไม่ติด ฉะนั้นบางเกมอาจจะไม่เหมาะที่จะแสดงผลแบบเต็มจอด้วยฟีเจอร์ที่ซัมซุงทำมาให้
ปล. ฟีเจอร์นี้บางแอพจะใช้งานไม่ได้
แบตเตอรี่
เรื่องแบตเตอรี่ผมถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ถือว่าแบตหมดแล้ว แต่ก็ไม่ได้แบตอึด การจากใช้งานปกติทั่วไป เพียงพอสำหรับ 1 วัน ยกเว้นการต่อ 4G ดูหนัง เล่นเกม อันนี้จะทำให้อยู่ไม่ถึงวันแน่นอน ส่วนโหมดประหยัดพลังงานยังคงเชื่อใจได้อยู่ เลือกเปิดได้ 2 ระดับ โดยการเปิดแต่ละระดับจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานแตกต่างกันไป
การเล่นเกม
ในแง่การเล่นเกมพบว่าตอบสนองได้ดี ด้วยหน้าจอที่ใหญ๋ และความสดของสีสันหน้าจอ ทำให้การเล่นเกมยิ่งสนุกขึ้น บวกกับการที่แสดงผลได้แบบเต็มอจ ไม่มีขอบดำด้านข้างให้รำคาญตา ช่วยให้การเล่นเกมสนุกอย่างไม่น่าเชื่อ
แต่… อย่างที่ผมบอกในหัวข้อ Crop to fit เกมบางเกมเมื่อแสดงผลเต็มจอแล้วทำให้บางปุ่มกดยากขึ้น ยกตัวอย่างเกม Seven Knights ปุ่มฝั่งซ้ายมือล่างจะกดไม่ค่อยติด ถ้าเป็นเกมที่ต้องใช้ปุ่มดังกล่าวตลอดเวลาอาจจะไม่เหมาะที่จะแสดงผลเต็มจอ
นอกจากนั้นในการเล่นเกมยังมี Game tools มาให้ มีเครื่องมือที่เหล่าเกมเมอร์จะต้องใช้เช่น โหมดเต็มจอ, ล็อค edge screen กันเวลากันแล้วมือไปโดน, ล็อคปุ่มโฮม, ล็อคไม่ให้มีการแจ้งเตือนใดๆ ตอนเล่นเกม หรือโหมดการแคปภาพนิ่ง หรือวีดีโอก็มีมาให้
ตัวอย่างวีดีโอ
กล้องหน้า
กล้องหลัง
วีดีโอ
ซื้อ Galaxy S7 ต่อไป หรือ ถอย S8 ดี ?
ผมเป็นอีกคนที่ขาย Galaxy S6 เพื่อซื้อ Galaxy S7 ด้วยเหตุผลคือมันดีขึ้นจากเดิมมาก เร็วขึ้นจากมากๆ ใช้งานโดยรวมได้ดีขึ้น แต่ในกรณี S7 กับ S8 ผมไม่ได้ขาย Galaxy S7 เพื่อซื้อ S8 แต่ผมเลือกที่จะใช้พร้อมกัน 2 เครื่องเลย โดยเหตุผลที่ว่า S8 เร็วกว่า S7 เพียงเล็กน้อยแน่นอน (น้อยมากๆ ราวๆ 10%) ถ้าใครคิดว่าจะซื้อ S8 มาแทน S7 เพียงเพราะว่ามันเร็วขึ้น อาจจะผิดหวังกับความเร็วที่ได้ แต่ถ้าคุณชอบดีไซน์ และความใหม่ของมัน จะตอบโจทย์แน่นอน
เรื่องประสิทธิภาพการใช้งาน รวมถึงเรื่องกล้อง ผมว่า S8 ไม่ได้ดีกว่า S7 เท่าไหร่หนัก คุณภาพดีกว่า แต่ไม่ดีมากพอที่จะทิ้งห่าง S7 ได้