“ความเครียด” หรือการวิตกกังวลจากการคิดมาก นอกจากจะส่งผลกระทบโดยตรงทางด้านจิตใจแล้ว ยังส่งผลเสียไปถึงสุขภาพหรือระบบการทำงานของร่างกายด้วยเช่นกัน โดยปัญหาสุขภาพที่หลายคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวออฟฟิศหรือมนุษย์เงินเดือนรู้จักกันดีก็คือ “เครียดลงกระเพาะ” นั่นเอง
ทำความรู้จัก “เครียดลงกระเพาะ”
โรคเครียดลงกระเพาะโดยส่วนใหญ่แล้วจะเกิดกับผู้ที่มีอายุในช่วง 18-35 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่มักจะเกิดความเครียดได้ง่าย หรือมีภาวะเครียดสะสมจากสิ่งที่ต้องพบเจอในแต่ละวัน ซึ่งความเครียดหรือภาวะเครียดสะสมที่เกิดขึ้นในทุก ๆ วันจะเป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะหลั่งน้ำย่อยออกมามากกว่าปกติ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะกำเริบ และจะส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายผิดปกติตามไปด้วย
“เครียดลงกระเพาะ” เกิดจากอะไร?
- ระบบประสาทอัตโนมัติไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้หลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีน
- ต่อมไทรอยด์หลั่งฮอร์โมนเร่งปฏิกิริยาการเผาผลาญอาหารออกมามาก ส่งผลให้รู้สึกหิวและนอนไม่หลับ
- เมื่อเกิดความเครียด การทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้จะหยุดชะงักลง
“เครียดลงกระเพาะ” อาการเป็นยังไง?
- ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ตอนท้องว่าง
- แสบร้อนกลางอก อาหารไม่ย่อย
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ท้องเสีย ท้องผูก
- แน่นท้อง ท้องอืด เรอเหม็นเปรี้ยว
- นอนไม่หลับ หรือนอนหลับไม่สนิท
“เครียดลงกระเพาะ” รักษายังไง?
โรคเครียดลงกระเพาะสามารถรักษาให้หายได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต รู้จักรับมือกับความเครียดในแต่ละวัน หากมีภาวะเครียดสะสมแนะนำให้ทำกิจกรรมที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย หรือทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ ทำอาหาร ออกกำลังกาย ทำสมาธิ หลีกเลี่ยงผู้คนหรือสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด หรือสามารถป้องกันโรคเครียดลงกระเพาะได้ด้วยวิธีเบื้องต้นดังนี้
- ทานอาหารให้ตรงเวลา
- หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด
- ไม่ทานของมัน ของทอด
- งดแอลกอฮอล์
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- หาวิธีผ่อนคลายเมื่อเกิดความเครียด
โรคเครียดลงกระเพาะไม่ใช่โรคที่อันตรายอย่างที่คิด เมื่อเกิดความเครียด หรือหากมีภาวะเครียดสะสม เราสามารถจัดการหรือรับมือกับความเครียดนั้นได้ด้วยตัวเอง ด้วยการหาวิธีที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด แต่หากอาการเครียดลงกระเพาะยังไม่ดีขึ้นก็ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม โดยแพทย์จะหาสาเหตุและให้การรักษาที่ถูกวิธี ป้องกันอาการเครียดลงกระเพาะที่หากปล่อยไว้อาจรุนแรงและเป็นอันตรายได้
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก